ฟิล์มกรองแสง หรือ ฟิล์มลดความร้อน ผลิตมาจากพลาสติกโพลีเอสเตอร์มีคุณสมบัติที่เหนียว สีใส ผิวสัมผัสเรียบ มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูง และต่ำได้เป็นอย่างดี ในฟิล์มกรองแสง จะมีวัสดุที่ใช้ดูดซับรังสี UV และความร้อนอยู่ ใช้เทคโนโลยีและกาวพิเศษในการผลิต เพื่อการยึดเกาะกับกระจกอย่างเหนียวแน่น ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าว จึงเหมาะสำหรับนำมาติดกระจกรถยนต์ เพื่อป้องกันความร้อน ลดอุณหภูมิ และลดแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ ซึ่งในปัจจุบันก็มี ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถยนต์หลากหลายชนิด ที่มีการพัฒนามาจากฟิล์มกรองแสงแบบธรรมดา ฟิล์มเคลือบโลหะ ฟิล์มคาร์บอน และ ฟิล์มเซรามิค เป็นต้น
ประเทศไทยเป็นเมืองที่ค่อนข้างร้อน การติดฟิล์มกรองแสงให้รถยนต์ นับว่าเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว ที่แม้แต่ปัจจุบันนี้หากมีการออกรถใหม่ป้ายแดง บางโชว์รูมได้จัดโปรโมชัน ติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ให้เป็นของแถมด้วยก็มี หากรู้สึกว่าที่แถมมาให้นั้นยังไม่โดนใจ หรือใครที่ต้องการ ติดฟิล์มกรองแสง ใหม่ให้รถยนต์สุดที่รักของคุณ คุณจะเลือกฟิล์มประเภทไหน ที่จะตอบโจทย์ให้กับคุณได้มากที่สุด Good Sure Glassได้นำคุณสมบัติของ ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ แต่ละประเภทมาแนะนำให้รู้จักกัน เพื่อเป็นตัวช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ฟิล์มประเภทนี้ผลิตโดยการย้อมสีแล้วมาเคลือบติดบนแผ่นพลาสติกโพลีเอสเตอร์ ไม่มีส่วนผสมของสารพิเศษ หรือโลหะใด ๆ อายุของการใช้งานน้อยเพียง 1-3 ปี ราคาของฟิล์มประเภทนี้ค่อนข้างถูกมีคุณสมบัติช่วยลดแสงจ้า ลดแสงสะท้อนจากภายนอกได้เล็กน้อย และฟิล์มประเภทนี้ไม่มีประสิทธิภาพในการดูดซับรังสี UV เมื่อมีระยะการใช้งานหรือมีการเสื่อมสภาพ เนื้อฟิล์มอาจจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงได้
ฟิล์มประเภทนี้ผลิตจาก แผ่นพลาสติก PETเคลือบลามิเนตด้วยไออนุภาคโลหะประเภทต่างๆ เนื้อฟิล์มจะมีความมันวาว การสะท้อนแสงคล้ายกับกระจกเงา ฟิล์มประเภทนี้จะไม่ถ่ายเทความร้อนเข้ามาในตัวรถ สะท้อนรังสี UV ได้ดี ให้ความเป็นส่วนตัวสูง และเนื่องจากว่ามีส่วนประกอบของโลหะ จึงอาจทำให้มีสัญญาณรบกวนโทรศัพท์มือถือ,GPS, ประตูอัตโนมัติ และอื่น ๆ ได้ ฟิล์มปรอท มีสีและความทึบ ให้เลือกเยอะกว่าฟิล์มประเภทอื่น ๆ มีราคากลางไปจนถึงราคาสูง อายุการใช้งาน 5-7 ปีเมื่อมีระยะการใช้งานหรือมีการเสื่อมสภาพ เนื้อฟิล์มอาจจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีน้ำตาล
ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Window Tint)
ฟิล์มประเภทนี้ มีผิวสัมผัสด้าน ภายในเนื้อฟิล์มมีส่วนผสมของอนุภาคคาร์บอนเคลือบที่ผิวด้านนอกของฟิล์ม และเป็นแผ่นโพลิเมอร์บาง ๆ ซ้อนกันกว่า 200 ชั้น จึงมีประสิทธิภาพป้องกันความร้อนและดูดซับรังสี UV ได้เป็นอย่างดี มีสีที่ค่อนข้างทึบ ให้ความเป็นส่วนตัว อายุการใช้งานนาน 7-10 ปี สีของเนื้อฟิล์มก็จะไม่ซีดลง ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ประเภทนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร
ฟิล์มประเภทนี้ มีส่วนประกอบที่เป็นวัสดุขนาดเล็กมาก ประมาณ 65 นาโนเมตร หรือที่เรียกว่าวัสดุนาโน เคลือบที่เนื้อฟิล์มกรองแสง โดยจริง ๆ แล้วนั้น วัสดุนาโนมีหลากหลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาใช้กับ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ คือ ชนิดที่เรียกว่า เซรามิค จึงได้มีชื่อที่เรียกกันจนคุ้นหูคือ ฟิล์มเซรามิค นั่นเอง จุดเด่นของฟิล์มชนิดนี้คือ สามารถป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99.99% เลยทีเดียว มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนที่จะเข้ามาในรถยนต์ได้เป็นอย่างดี หากมองจากด้านนอกอาจจะดูมืด แต่ที่จริงแล้วภายในห้องโดยสารสว่างเหมือนรถที่ไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสงเลย อายุการใช้งานนาน 10 ปีขึ้นไป และสีของเนื้อฟิล์มก็ไม่ซีดลงอีกด้วย
จุดประสงค์ของการ ติดฟิล์มรถยนต์ ของหลายคนคงจะคล้าย ๆ กันคือ เพื่อลดความร้อนและช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ เพราะต้องยอมรับเลยว่าแดดที่ประเทศไทยนั้น ร้อนไม่แพ้ชาติใดในโลกเลยจริง ๆ ฟิล์มกรองแสง ก็นับได้ว่าเป็นตัวช่วยที่ดีและสำคัญที่สุด เพราะนอกจากจะมีส่วนช่วยในเรื่องของความปลอดภัยแล้ว ก็ยังสามารถช่วยยืดอายุให้กับวัสดุและอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถได้อีกด้วย
การติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ที่จริงแล้วไม่ได้มีข้อกำหนดหรือตั้งกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่า กระจกรถยนต์ แต่ละบานจะต้องใช้ความเข้มเท่าไร บางคนก็เลือก 40/60 หรือ 60/80และในส่วนของเปอร์เซ็นต์40 / 60 / 80 และยังมีตัวหนังสือ อักษรย่อต่าง ๆ พ่วงมาด้วย ค่าเปอร์เซ็นต์และตัวหนังสือเหล่านี้ ที่ใช้เรียกกันทั่วไป ที่จริงแล้ว มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่มาไขข้อสงสัยไปกับ Good Sure Glass ได้เลย
ค่า VLT คือ ค่าแสงส่องผ่าน เป็นค่าที่ใช้วัดความใสของฟิล์ม หากค่าสูงสุดที่ 100% และมีค่า VLT 80% เท่ากับว่า ฟิล์มนั้นมีความสามารถที่ยอมให้แสงส่องผ่านถึง 80% สรุปได้ว่า ค่า VLT มีเปอร์เซ็นต์สูงมากเท่าไร ฟิล์มกรองแสงก็จะใสมากเท่านั้น
ฟิล์มเข้ม 80 หมายถึง ฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 5%
ฟิล์มเข้ม 60 หมายถึง ฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 20%
ฟิล์มเข้ม 40 หมายถึง ฟิล์มที่ยอมให้แสงส่องผ่าน ( VLT ) ได้ประมาณ 50%
ค่า VLR (Visible Light reflectance)
ค่า VLR หรือค่าการสะท้อนแสง โดยทั่วไปแล้ว แค่กระจกเพียงอย่างเดียว ค่าการสะท้อนแสงจะอยู่ที่ประมาณ 9% หากฟิล์มกรองแสงที่ดี จะต้องช่วยลดแสงสะท้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ให้ดีมากยิ่งขึ้น ค่า VLR นั้น เฉลี่ยแล้วไม่ควรเกิน 6-10% เพราะถ้าเกินไปมากกว่านี้ จะทำให้เกิดเงาสะท้อนมาก ส่งผลให้บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ของคุณได้
ค่า IRR (Infrared Reflection)
ค่า IRR คือค่าการสะท้อนรังสีความร้อน ผู้คนส่วนมากมักคิดว่า ฟิล์มกรองแสงยิ่งเข้ม ก็จะยิ่งกันความร้อนได้ดี แต่ในความเป็นแล้ว ฟิล์มกรองแสง ที่มีความเข้มมาก ๆ จะช่วยในเรื่องของการกรองแสงเท่านั้น ไม่ได้มีคุณสมบัติกันความร้อนแต่อย่างใด
ค่า UV (Ultraviolet)
ค่า UV คือค่าป้องกันรังสียูวี รังสียูวีคือต้นเหตุหลักที่ทำให้เกิด ฝ้า มะเร็งผิวหนัง และผิวคล้ำเสียได้ ส่วนมาก ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ในปัจจุบัน จะมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันรังสียูวี สูงถึง 99% อยู่แล้ว แต่ไม่ได้มีส่วนช่วยในเรื่องลดความร้อนภายในห้องโดยสาร
ค่า TSER (Total Solar Energy Reflection)
ค่า TSER คือค่าสะท้อนพลังงานรวม ค่านี้เป็นการนำค่าที่กล่าวไว้ข้างต้นมารวมกัน หากจำนวนเปอร์เซ็นต์ของค่านี้สูง นั่นหมายความว่า จะมีประสิทธิภาพช่วยกันความร้อน และรังสีต่าง ๆ ได้ดี แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับ ฟิล์มกรองแสงแต่ละประเภทด้วย
ประโยชน์ของ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ที่ให้มากกว่ากันความร้อน
เมื่อได้ทำความเข้าใจกับประเภทของ ฟิล์มติดกระจกรถยนต์ และการอ่านค่าต่าง ๆ แล้ว Good Sure Glass หวังว่าบทความนี้ จะมีส่วนช่วยให้ทุกท่านได้เห็นถึงประโยชน์ และข้อดีของฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ รวมไปถึง ช่วยประกอบการตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องของราคาแล้ว การเลือกศูนย์บริการ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน ศูนย์บริการควรมีมาตรฐาน บุคลากรต้องมีความชำนาญ มิเช่นนั้น นอกจากจะไม่ได้ผลลัพธ์ เป็นที่น่าพึงพอใจ ประสิทธิภาพไม่ตอบโจทย์ต่อความต้องการ ท่านยังต้องเสียเงินโดยไม่ใช่เหตุ เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
สิ่งของทุกชนิดย่อมมีอายุการใช้งานทั้งหมด แต่ละชนิดระยะเวลาก็จะแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ที่ผู้ใช้รถเป็นจำนวนมาก ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า อายุการใช้งานของฟิล์มกรองแสงรถยนต์นั้น อยู่ได้กี่ปี ทั้งนี้ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับการสัมผัสกับแสงแดด สภาพอากาศ ความชื้น สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และสารเคมี นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับว่าการใช้งานและการดูแลรักษาของผู้ใช้รถด้วย รวมไปถึง ประเภทของฟิล์มกรองแสง ก็จะมีอายุการใช้งานที่ไม่เท่ากัน เนื่องจากวัสดุที่ใช้ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการผลิต แล้วฟิล์มแต่ละประเภทอยู่ได้ประมาณกี่ปี ?
ไม่ว่าเราจะใช้รถยนต์มากหรือน้อยสักแค่ไหน แต่ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ก็จะเสื่อมสภาพลงทุกปีตามการใช้งาน ด้วย ฝุ่นละออง สภาพอากาศ ที่ยิ่งเจอแดดของประเทศไทย ก็อาจจะทำให้คุณสมบัติในการทำงานลดลง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าฟิล์มกรองแสงของเรา เสื่อมสภาพแล้ว
Good Sure Glass ก็ได้รวบรวมลักษณะและจุดสังเกตของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ที่เสื่อมสภาพ มาให้ทุกท่านได้นำไปตรวจเช็ครถยนต์ของตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ดังนี้
1.สีของเนื้อฟิล์มกรองแสง
สังเกตว่าฟิล์มบนรถของเรามีสีซีดจาง หรือสีอ่อนตัวลง หรือไม่ โดยสังเกตแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในรถว่าแสงเข้ามาได้เยอะกว่าปกติหรือเปล่า และที่สำคัญ เนื้อของฟิล์มกรองแสงจะมีการเปลี่ยนสี ที่พบได้บ่อยก็จะเป็นสี ม่วง สีน้ำตาล
2.อุณหภูมิในห้องโดยสาร
เมื่อนั่งอยู่ในห้องโดยสาร เราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมอากาศร้อนกว่าเดิม ทั้ง ๆ เราก็ที่เปิดแอร์ที่อุณภูมิเท่าเดิม ยิ่งถ้าหากว่าฟิล์มกรองแสงที่คุณติดมานั้น กันความร้อนได้เป็นอย่างดี ก็ให้สันนิฐานไว้เลยว่า ฟิล์มกรองแสงของคุณนั้น ได้เสื่อมสภาพในการป้องกันความร้อนแล้ว แต่ทั้งนี้ วิธีการตรวจสอบด้วยอุณภูมิ ก็อาจจะต้องดูจากสภาพอากาศในแต่และวัน หรือฤดูกาลนั้น ๆ ด้วย
3.ทัศนวิสัยเริ่มไม่ชัดเจน
เมื่อเวลาขับรถแล้วมองเห็นทุกอย่างมัวไปหมด อะไร ๆ ก็ไม่คมชัด หรือแสงไฟของรถที่ขับสวนมามีความสว่างจ้าแบบผิดปกติ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อสังเกตที่ฟิล์มกรองแสงของคุณได้เสื่อมสภาพลง เพราะฟิล์มกรองแสงที่ดี จะต้องไม่รบกวนทัศนวิสัยในการขับขี่
4.มีฟองอากาศ มีรอยย่น หลุดลอก
หากฟิล์มกรองแสงมีลักษณะเป็นจุด ๆ ฟองอากาศ มีรอยย่นยับ หรือมีการหลุดลอกมาเอง ส่วนมากจะหลุดมาจากตามมุมกระจกบานหน้า - หลังก่อน เนื่องจากว่ามีชิ้นที่ใหญ่กว่า และมีมุมโค้งที่มากกว่า สาเหตุก็เพราะว่ากาวที่ใช้ติดเกิดการเสื่อมสภาพลงนั่นเอง
ในปัจจุบัน ประเภทของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ก็มีหลากหลายประเภทให้เลือก แต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติ ราคา รวมไปถึงความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้น หากต้องการเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงใหม่ จะต้องคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง เพื่อจะตอบโจทย์กับความต้องการได้มากที่สุด
1. ต้องรู้ความต้องการของตนเองก่อน ว่าเน้นใช้งานในเรื่องใดมากที่สุด เช่น กันความร้อน กันแสงแดด ความสวยงามเป็นต้น
2. หาข้อมูล และศึกษาคุณสมบัติ เปรียบเทียบสิ่งที่ตรงกับความต้องการของตัวเองให้มากที่สุด หลาย ๆ ยี่ห้อ
3. ปรึกษา หรือสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ จากศูนย์บริการที่มีความน่าเชื่อถือ
4. เมื่อทำการติดฟิล์มกรองแสงเรียบร้อยแล้ว ควรตรวจสอบความเรียบร้อยและควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
5. ในช่วงแรก ทัศนวิสัยในการขับขี่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่จะได้เองได้ในช่วง 1-4 สัปดาห์
เมื่อฟิล์มกรองแสงรถยนต์ เกิดการเสื่อมสภาพ
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อรถยนต์และผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก เมื่อใช้งานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ควรหมั่นตรวจเช็ค ว่าฟิล์มกรองแสงเกิดการเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง เพราะนอกจากความสวยงามที่ลดลง ก็ยังบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นควรรีบเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงให้รถยนต์ เพื่อความปลอดภัย และการยืดอายุอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถยนต์